Wat Muang วัดม่วง บางปะหัน: มรดกจิตรกรรมแห่งต้นรัตนโกสินทร์
นอกเกาะเมืองอยุธยาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้แม่น้ำเดิม (ลพบุรีสายเดิม) ที่ไหลจากทางเหนือสู่เกาะเมือง ตามการสันนิษฐานของพระยาโบราณราชธานินทร์ ว่าลำน้ำเดิมนี้ มิใช่ลำน้ำลพบุรีที่ไหลจากหน้าวัดบรมวงศ์ผ่านมายังวัดตองปุ แต่เป็นลำน้ำที่ไหลผ่านบ้านม่วงมาทางวัดเขาดิน โพธิ์สามต้น อ้อมไปทางวัดช้าง วัดสามประตู วัดตูม มาเหนือเพนียดสู่วัดสามพิหาร วัดแม่นางปลื้ม ไปข้างเกาะกรุงด้านเหนือ จนภายหลัง มีการขุดคลองลัดตอนบนตั้งแต่วัดดาวคะนองจนมาจบที่แม่น้ำเหนือเพนียด แม่น้ำเดิมก็คอดเหือดไป
ลำน้ำลพบุรี มีความสำคัญยิ่งเพราะเป็นเส้นทางคมนาคมสู่หัวเมืองด้านตะวันออกเฉียงเหนือ สินค้าต่างๆ ถูกลำเลียงผ่านแม่น้ำสายนี้มาสู่อยุธยา เมืองท่าสำคัญ ดังเอกสารโบราณที่ได้กล่าวถึงว่า “ พวกชาวเมืองอ่างทอง ลพบุรี เมืองอินทร์ เมืองพรหม เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ เมืองสุพรรณบุรี เอาข้าวเปลือกบรรทุกเรือมาขาย…”
เส้นทางลำน้ำโบราณนี่เอง อาจก่อให้เกิดชุมชนดั้งเดิมเลาะตามลำน้ำ มีย่านตลาด ย่านผลิตสินค้าการเกษตร หรือการผลิตวัตถุดิบที่จะส่งลงมายังแหล่งผลิตนอกเกาะเมือง และเมื่อมีชุมชน ย่อมมีวัด
วัดม่วง ตั้งอยู่ในอำเภอบางประหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรม โดยวัดแห่งนี้เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสายน้ำ จะเห็นได้จากที่ตั้งของวัดที่ติดกับลำรางทางด้านเหนือ และคลองโพธิ์สามต้นทางด้านตะวันออก ภายในวัด มีโบราณสถานแบบก่ออิฐสอปูน 4 หลัง คือ พระอุโบสถ วิหาร และเจดีย์ราย 2 องค์
Wat Muang วัดม่วงกับความสัมพันธ์ของสายน้ำ
ในอดีต สายน้ำถือเป็นเส้นทางการคมนาคมหลักของชาวบ้านในบริเวณบางประหัน แม่น้ำลพบุรี ซึ่งไหลผ่านพื้นที่ดังกล่าว เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างชุมชนและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างกรุงศรีอยุธยาและกรุงเทพมหานคร การตั้งวัดม่วงบริเวณใกล้แม่น้ำจึงมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชุมชน ทั้งในด้านศาสนาและเศรษฐกิจ
วัดม่วงทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในยุคนั้น การเดินทางมาทำบุญ ฟังธรรม และร่วมกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ เกิดขึ้นโดยอาศัยเรือเป็นพาหนะหลัก นอกจากนี้ วัดยังมีบทบาทสำคัญในฐานะสถานที่พักแรมของพ่อค้าและนักเดินทางที่สัญจรไปมาตามแม่น้ำลพบุรี
ประวัติวัดม่วง Wat Muang
วัดม่วงน่าจะถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ตามปรากฏในเอกสารว่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ใน พ.ศ. 2357 ได้รับการบูรณะในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดม่วงเป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. 2541
ความสำคัญทางศิลปะและสถาปัตยกรรม
วัดม่วงเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมในยุคต้นรัตนโกสินทร์ สะท้อนความประณีตของช่างฝีมือในยุคนั้น ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงาม เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านและผู้มาเยือน
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถเป็นอีกหนึ่งความโดดเด่น โดยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและคติธรรมในพระพุทธศาสนา ลายเส้นและการใช้สีแสดงถึงอิทธิพลของศิลปะอยุธยาตอนปลายที่ส่งต่อมาสู่รัตนโกสินทร์
จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารวัดม่วง Wat Muang
ภายในวิหารขนาดย่อมรูปผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10 เมตร ยาว 19 เมตร คือพื้นที่ถ่ายทอดจินตนาการและงานช่างของต้นรัตนโกสินทร์ ด้วยเทคนิคเขียนสีฝุ่น ปรากฏเรื่องราวพุทธประวัติ ทศชาติชาดก ไตรภูมิ ปฐมสมโพธิ์ และเรื่องสุภาษิต
เนื่องจากเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่น่าจะวาดขึ้นในปี พ.ศ. 2444 ซึ่งเป็นช่วงนี้จิตรกรรับเอาแนวคิดการวาดทัศนียภาพและตะวันตกเข้ามาใช้ในงานเขียนแล้ว เราจึงได้เห็นการผลักระยะใกล้ไกล ภาพทิวทัศน์แบบสมัยใหม่ ปรากฎบนจิตรกรรมฝาผนัง ไม่ว่าจะเป็นภาพผืนฟ้า สถาปัตยกรรม ธรรมชาติ หรือ figure ต่างๆ ผสมผสานกับเขียนตามอย่างคติประเพณีนิยมดั้งเดิม เช่นภาพไตรภูมิด้านหลังพระประธาน ภาพมารผจญบนผนังตรงข้ามพระประธาน และภาพเทพชุมนุมบนผนังด้านข้างตอนบน ถัดลงมาเป็นภาพพุทธประวัติ
จิตรกรรมภายในวิหาร ปรากฏการจารึกว่านายเส็งเป็นผู้เขียนภาพ ซึ่งในยุคสมัยที่มีการเขียนภาพนี้ ปรากฏชื่อนายเส็ง เป็นจิตรกรมีฝีมือที่ทำการซ่อมจิตรกรรมภาพรามเกียรติในผนังระเบียงคต วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนายเส็งคนเดียวกัน ซึ่งเป็นจิตรกรที่ทำการซ่อมภาพบนผนังระเบียงคตเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 7
สถาปัตยกรรมและแผนผังของวัดม่วง Wat Muang
วัดม่วงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ในส่วนพุทธาวาสปรากฏสถาปัตยกรรมสำคัญ 4 หลัง ได้แก่ พระอุโบสถ วิหาร ซึ่งสร้างในแกนขนานกัน ด้านหน้าอาคารทั้งสอง คือที่ตั้งของเจดีย์รายย่อมุม มีซุ้มจรนำสี่ทิศ ปรากฎลวดลวยปูนปั้นที่หน้าบัน
วิหารมีขนาดใกล้เคียงกับอุโบสถ ผังพื้นมีระเบียงรอบ มีมุขด้านหน้าและด้านหลัง มีเสาพาไลรับชายคาปีกนกโดยรอบ นับได้ 22 ต้น ฐานอาคารเป็นลักษณะบัวคว่ำบัวหงาย
พระประธานในวิหาร
เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ พุทธลักษณะแบบรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อเพชร (ส่วนพระประธานในพระอุโบสถ ชาวบ้านเรียกกันว่า หลวงพ่อทอง) ฐานชุกชีมีความน่าสนใจ ปรากฏลวดลายไทยประยุกต์อย่างเทศ
บทสรุป
วัดม่วง บางประหัน เป็นวัดเก่าแก่ มีพระภิกษุจำพรรษามาโดยตลอด ไม่เคยมีปรากฎว่าเป็นวัดร้างเลย วัดได้ถูกบูรณะเรื่อยมา สะท้อนให้เห็นความสำคัญของวัดที่มีต่อชุมชนริมน้ำโบราณ จิตรกรรมฝาผนังภายในวัด มีความโดดเด่นด้วยฝีมือช่าง การใช้สีและแนวคิดใหม่เข้ามาประยุกต์กับงานเขียนแบบจารีต และเป็นการสืบสานงานช่างจากช่างหลวง สู่ชุมชน ทั้งยังถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยนั้น จารจารึกผ่านปลายพู่กันทำให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้สัมผัสความละเมียดละไมของช่าง และความตื่นตาตื่นใจของเรื่องราวที่สื่อสารโดยแสดงให้เห็นถึงภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมที่มาจากเมืองหลวง การเข้ามาของเทคโนโลยีแบบตะวันตก และความเป็นอยู่ของผู้คนในพระนคร โดยเฉพาะด้านสุขอนามัยที่ นอกจากเรื่องราวภายในเมืองหลวง ช่างเขียนยังได้ถ่ายทอดวิถีชีวิตและวัฒนธรรมในชุมชนภาคกลางด้วย เช่น การสวดพระมาลัยในงานศพ การทำอาหาร การจักสาน ซึ่งจิตรกรรมที่มีความงดงามเยี่ยงนี้ มีช่างหลวงมารังสรรงานเช่นนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากวัดม่วงไม่ได้มีความสำคัญต่อชุมชน
วัดม่วงจึงไม่ได้เป็นเพียงวัดที่มีความงดงามทางศิลปะและสถาปัตยกรรมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของชาวบ้านในยุคที่สายน้ำเป็นหัวใจหลักของการดำรงชีวิต และการคมนาคม วัดแห่งนี้จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าสำหรับคนไทย และสมควรได้รับการอนุรักษ์ให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นหลังได้เรียนรู้และชื่นชมต่อไป
*********************************************************
ประวัติผู้เขียนบทความ
มนต์ทิพย์ ลินน์ อัสโสรัตน์กุล (วัฒนรังษีขจร) Montip Lynn Assoratgoon (Wattanarungsikajorn)
- อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย 2007 – ปัจจุบัน
- เลขาธิการใหญ่ Asia Pacific Space Designers Association 2023 – ปัจจุบัน
- Committee APSDA College of Fellows 2021 – ปัจจุบัน
- Founder/ Director ML Estates
- อาจารย์พิเศษ
- นักเขียนนวนิยาย นามปากกา อลินน์ , ออนนี่ดีว่า
More Attractions in Ayutthaya, Thailand
Ayutthaya History Park : Wat Mahathat
Unseen Ayutthaya เที่ยววัดเจ้าย่า ลานสังหารท้าวศรีสุดาจันทร์
ย้อนอดีตสู่ความรุ่งเรืองของวัดบรมพุทธาราม: วัดหลวงในเงาแห่งกาลเวลา wat borom phuttharam
Ayutthaya, the ancient capital of Thailand, offers a blend of cultural heritage, historic ruins, and scenic charm. Here are some tips for a smooth and enjoyable trip:
1. Plan Your Transportation
- From Bangkok:
- Train: Trains from Hua Lamphong Station are affordable (around 15-50 THB) and provide a scenic route.
- Minivan: Depart from Mo Chit or Victory Monument for quick trips.
- Private car/taxi: Convenient but more expensive.
- Boat tour: For a unique experience, take a Chao Phraya River cruise.
- Within Ayutthaya:
- Bicycles: Rent a bike (40-50 THB/day) for a relaxed way to explore the ruins.
- Tuk-tuks: Ideal for short trips but agree on the price beforehand.
- Motorbikes: Rent for more flexibility.
2. Dress Comfortably and Respectfully
- Wear light, breathable clothing suitable for the heat.
- Bring a scarf or shawl to cover shoulders when entering temples.
- Comfortable shoes are a must for walking around ruins.
3. Must-Visit Attractions
- Historical Sites:
- Wat Mahathat: Famous for the Buddha head entwined in tree roots.
- Wat Chaiwatthanaram: Stunning riverside temple with Khmer-style architecture.
- Wat Phra Si Sanphet: The grand royal temple.
- Museums:
- Chao Sam Phraya National Museum: Houses artifacts from the Ayutthaya period.
- Floating Markets:
- Ayothaya Floating Market: For food and souvenirs.
4. Best Time to Visit
- Cool Season (November – February): Pleasant weather for outdoor exploration.
- Early Morning or Late Afternoon: Avoid the midday heat.
5. Food and Dining
- Try local dishes like boat noodles, roti sai mai (Ayutthaya’s sweet candy floss wrapped in roti), and freshwater river prawns.
- Visit street food stalls or restaurants along the river for authentic flavors.
6. Bring Essentials
- Sunscreen, hat, and sunglasses to protect against the sun.
- Mosquito repellent, especially for evening visits.
- A refillable water bottle to stay hydrated.
7. Respect the Culture
- Avoid climbing on or touching sacred ruins.
- Be quiet and respectful inside temple grounds.
- Always take off shoes when entering temples.