Rani Ki Vav Unesco Stepwell

stepwell

Rani Ki Vav Unesco Stepwell

stepwell ที่งดงามที่สุด จากบ่อน้ำขั้นบันไดในศตวรรษที่ 11 สู่แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลก UNESCO: Rani Ki Vav

Rani Ki Vav หรือที่เรียกว่า “Stepwell of the Queen” เป็นบ่อน้ำขั้นบันไดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสรัสวตี ในเมือง Patan รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 2014 ความโดดเด่นของ Rani Ki Vav ไม่เพียงแค่โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาพแกะสลักที่วิจิตรบรรจง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อและวัฒนธรรมในยุคโบราณของอินเดีย

ประวัติการสร้าง Rani Ki Vav stepwell

Rani Ki Vav ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ช่วงประมาณปี 1063-1083 ในยุค ราชวงศ์โซลังกี (Solanki Dynasty) หรือที่เรียกอีกชื่อว่า ราชวงศ์ชาลุกยะ (Chaulukya Dynasty) ซึ่งปกครองรัฐคุชราต โดยผู้สร้างคือพระราชินีอุทายมติ (Udayamati) ทรงสร้างบ่อน้ำแห่งนี้ขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระสวามีของพระองค์ กษัตริย์ภิมเทพที่ 1 (Bhima I) หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ บ่อน้ำจึงถือเป็นอนุสรณ์สถานที่มีความสำคัญในเชิงศาสนาและความรักของพระราชินีที่มีต่อพระสวามี การสร้างบ่อน้ำขั้นบันไดที่วิจิตรเลิศเลอแห่งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงความรักและความระลึกถึงพระสวามีที่ล่วงลับ หากแต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่และความศรัทธาต่อศาสนาและพระวิษณุ ซึ่งพระภิมเทพทรงเคารพบูชา

สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมาจากผู้สร้างที่มีอำนาจ และการเมืองการปกครองของรัฐที่มีความแข็งแกร่ง เมือง Patan หรือ ปัฏฏนา ก็เช่นกัน

พระภิมเทพที่ 1 ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญในการขยายอำนาจของราชวงศ์โซลังกีในภูมิภาคคุชราต พระองค์ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากที่อาณาจักรต้องเผชิญกับความวุ่นวายภายในและการรุกรานจากอาณาจักรรอบข้าง ในช่วงเวลานั้น อาณาจักรอินเดียหลายแห่งเผชิญการรุกรานจากชาวเตอร์ก (Turks) และชาวมุสลิมจากแถบอัฟกานิสถาน พระภิมเทพที่ 1 ทรงมีบทบาทในการปกป้องอาณาจักรจากการรุกราน โดยเฉพาะในศึกกับกลุ่ม มหมุดแห่งฆซนี (Mahmud of Ghazni) ซึ่งพยายามขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคคุชราต

เมือง อานฮิลวาดา-ปัฏฏนา (Anhilwad-Patan) ในขณะนั้น เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์โซลังกี ได้รับการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าและศาสนา มีการสร้างสถาปัตยกรรมสำคัญทั้งวัด บ่อน้ำขั้นบันได ปราสาท แต่ด้วยวิเทศโลบายอันชาญฉลาด พระภิมเทพที่ 1 ทรงให้กับอุปถัมป์ศาสนาทั้งฮินดูและเจน ทำให้อาณาจักรมีความรุ่งเรืองด้านวัฒนธรรม

เมื่อพระเจ้าภิมเทพที่ 1 สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1063 อาณาจักรถูกท้าทายจากศัตรูภายนอก พระราชินีอุทายมติ ซึ่งแต่เดิม ทรงช่วยราชการสามี ดูแลราชสำนักด้วยพระปรีชา ส่งผลให้ทรงมีบทบาทในช่วงเปลี่ยนถ่ายบัลลังก์ไปสู่ Karna พระราชโอรส

และด้วยพระอำนาจ บารมี และพระปรีชาของราชินีอุทายมติ สถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก วิจิตรบรรจงด้วยภาพแกะสลักเปี่ยมศรัทธา และขนาดของสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ อย่าง Rani Ki Vav จึงถือกำเนิดขึ้น

การออกแบบและการก่อสร้าง Rani Ki Vav stepwell

Rani Ki Vav ถูกออกแบบในรูปแบบของบ่อน้ำขั้นบันไดที่มีความลึก 7 ชั้น สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพูและหินทรายสีเหลืองที่หาได้ในท้องถิ่น วัสดุเหล่านี้ทนทานต่อสภาพอากาศและเหมาะสำหรับการแกะสลัก โครงสร้างมีลวดลายแกะสลักที่วิจิตรบรรจง โดยเฉพาะภาพของเทพเจ้าและเทพธิดาฮินดู เช่น พระวิษณุในอวตารต่าง ๆ

บ่อน้ำหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพื่อให้แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามา ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อในศาสนาฮินดูที่เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของแสง

เรื่องราวของภาพแกะสลักใน Rani Ki Vav

  1. เทพเจ้าและเทพธิดาฮินดู
    • ภาพแกะสลักส่วนใหญ่ใน Rani Ki Vav มีเนื้อหาเกี่ยวกับเทพเจ้าและเทพธิดาฮินดู เช่น
      • พระวิษณุในอวตารต่าง ๆ (Dashavatara) เช่น พระรามและพระกฤษณะ
      • พระลักษมี เทพีแห่งความมั่งคั่ง ซึ่งมักปรากฏในภาพที่แสดงถึงการอวยพรและความอุดมสมบูรณ์
    • บางภาพเล่าเรื่องราวจากมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ
  2. ภาพสะท้อนชีวิตและวัฒนธรรม
    • นอกจากเทพเจ้า ยังมีภาพแกะสลักที่สะท้อนชีวิตในสมัยนั้น เช่น ภาพนักดนตรี นักเต้นรำ และช่างฝีมือ
  3. การเชื่อมโยงกับน้ำ
    • การแกะสลักยังสะท้อนความสัมพันธ์ของน้ำกับความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจาก Rani Ki Vav ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งน้ำสำคัญ และเป็นการบูชาแม่น้ำสรัสวดี ซึ่งมีความสำคัญในศาสนาฮินดู

ภาพสำคัญใน Rani Ki Vav

  1. พระวิษณุในอวตาร
    • ภาพที่มีรายละเอียดมากที่สุดคือภาพของพระวิษณุในอวตารทั้ง 10 รูปแบบ เช่น มัตสยะ (ปลา), วราหะ (หมูป่า), นรสิงห์ (สิงโตครึ่งคน) เป็นต้น ซึ่งสื่อถึงวงจรแห่งชีวิตและการปกป้องจักรวาล
  2. ภาพลักษมีนารายณ์
    • ภาพของพระวิษณุคู่กับพระลักษมีนั่งบนบัลลังก์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความสงบสุข
  3. งานแกะสลักทางเรขาคณิตและดอกไม้
    • นอกจากภาพเทพเจ้า ยังมีการแกะสลักลวดลายดอกไม้และลวดลายทางเรขาคณิตที่ซับซ้อน เป็นตัวอย่างของความเชี่ยวชาญทางศิลปะในสมัยนั้น
  4. การพรรณนาชีวิตในราชสำนัก
    • ภาพนักดนตรีและนักเต้นรำในราชสำนักช่วยสะท้อนวิถีชีวิตและความรุ่งเรืองของสมัยนั้น

ความงดงามและอัจริยภาพของช่างแห่งเมืองปฏฏนา ถูกฝังหายลงไปในใต้ผิวดินเป็นเวลาหลายร้อยปี เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนเส้นทางของแม่น้ำสรัสวตี ทำให้บ่อน้ำแห่งนี้ถูกทิ้งร้างในที่สุด จนล่วงมาถึงยุคอาณานิคม ที่บางส่วนของสถาปัตยกรรมที่โผล่จากใต้ดินได้ถูกค้นพบโดยนักสำรวจ และนักเดินทาง มีการบันทึกหลักฐานการค้นพบเพชรน้ำงามใต้ดินแห่งนี้ แต่ไม่มีรายละเอียดไปมากกว่านี้ เพราะสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ยังจมอยู่ใต้ดิน

จนกระทั่งช่วงปี ค.ศ. 1940- 1950 กรมโบราณคดีอินเดีย (Archaeological Survey of India – ASI) ได้เริ่มขุดค้นและบูรณะ Rani Ki Vav จนกลับมามีสภาพที่งดงาม

ในปี 2014 Rani Ki Vav ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกโดยยูเนสโก ในฐานะตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของสถาปัตยกรรมบ่อน้ำขั้นบันไดในอินเดีย

ความสำคัญในปัจจุบัน

Rani Ki Vav ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของอินเดียเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของศิลปะ วัฒนธรรม และเทคโนโลยีโบราณที่แสดงถึงความรู้ความสามารถของช่างฝีมือในยุคนั้น อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทของสตรีในประวัติศาสตร์อินเดียที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมและสังคม

ราชวงศ์โซลังกี (Solanki Dynasty) หรือที่รู้จักในชื่อ ราชวงศ์ชาลุกยะตะวันตก (Western Chalukya) เป็นหนึ่งในราชวงศ์ที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อินเดียตอนกลางและตะวันตก โดยเฉพาะในภูมิภาคคุชราต (Gujarat) ราชวงศ์นี้มีความรุ่งเรืองด้านวัฒนธรรม ศิลปะ และสถาปัตยกรรมระหว่างศตวรรษที่ 10 ถึงศตวรรษที่ 13

ในยุคแห่งความรุ่งเรืองของปฏฏนา หรือ Patan ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โซลังกี แล้วไทยเล่า อยู่ในยุคอะไร

ราชวงศ์โซลังกีมีช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองระหว่าง ศตวรรษที่ 10-13 ซึ่งสอดคล้องกับ ยุคทวารวดีและสุโขทัย ในดินแดนไทย

  1. ช่วงเวลาและการปกครอง
ราชวงศ์โซลังกี (Solanki Dynasty)  
ศตวรรษที่ 10–13
ศูนย์กลางอยู่ที่รัฐคุชราต (Gujarat)
ราชวงศ์นี้ปกครองด้วยระบบกษัตริย์
โดยมีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคตะวันตกของอินเดีย
ใช้ระบบ “ธรรมราชา” ในการปกครอง
มีความเชื่อมโยงกับศาสนาและธรรมะ 

อาณาจักรไทยที่ร่วมสมัย
ยุคทวารวดี (ศตวรรษที่ 6–11)
และ ยุคสุโขทัย (ศตวรรษที่ 13–15)
ศูนย์กลางอยู่ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน
ทวารวดีเป็นรัฐในระบบเมือง (City-State)
ส่วนสุโขทัยเป็นราชอาณาจักรที่มีการรวมศูนย์อำนาจภายใต้กษัตริย์
ปกครองด้วยระบบ “ธรรมราชา” คล้ายกัน
โดยเฉพาะในยุคสุโขทัย
  1. วัฒนธรรมและศาสนา
ราชวงศ์โซลังกี (Solanki Dynasty)  
ศาสนาฮินดู (ลัทธิไวษณพ) และเจน
มีการบูชาพระวิษณุและเทพในศาสนาฮินดู
สถาปัตยกรรมและศิลปะมีลักษณะการแกะสลักเทพเจ้า
เช่น พระวิษณุในอวตารต่าง ๆ และลวดลายเรขาคณิต
สนับสนุนศาสนาเจนอย่างกว้างขวาง
ซึ่งเน้นความเรียบง่ายและการไม่เบียดเบียน

อาณาจักรไทยที่ร่วมสมัย
ศาสนาพุทธ (เถรวาท) และผีพื้นเมือง
มีการบูชาพระพุทธเจ้าและผีบรรพบุรุษ
ศิลปะเน้นภาพพระพุทธรูปและลวดลายที่สะท้อนถึงธรรมชาติ
เช่น วัดพระพุทธรูปในยุคทวารวดีและสุโขทัย
สนับสนุนศาสนาพุทธอย่างเป็นทางการในยุคสุโขทัย
เช่น กษัตริย์พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนา
  1. สถาปัตยกรรมและโครงสร้างสาธารณะ
ราชวงศ์โซลังกี (Solanki Dynasty)  
โดดเด่นด้วยบ่อน้ำขั้นบันได (Stepwell)
เช่น Rani Ki Vav และทะเลสาบสำหรับชุมชน
ใช้หินทรายสีเหลืองและชมพูสำหรับการก่อสร้าง
งานแกะสลักเทพเจ้าและลวดลายทางเรขาคณิต
มีรายละเอียดประณีต

อาณาจักรไทยที่ร่วมสมัย
เน้นการสร้างสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา
เช่น เจดีย์ในยุคทวารวดีและวัดในยุคสุโขทัย
ใช้อิฐและปูนสำหรับการสร้างวัดและเจดีย์
งานปั้นและแกะสลักพระพุทธรูปเน้นความสง่างาม
เช่น พระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัยที่มีความอ่อนช้อย

 

  1. การค้าและเศรษฐกิจ
ราชวงศ์โซลังกี (Solanki Dynasty)  
มีความรุ่งเรืองจากการค้าขายทางทะเล
โดยเฉพาะการค้ากับอาหรับและเอเชียตะวันออก
เมืองปัฏฏนา (Patan) เป็นศูนย์กลางการค้าและศิลปะ
อาณาจักรไทยที่ร่วมสมัย
การค้ารุ่งเรืองผ่านเส้นทางคาบสมุทรไทย
เช่น การค้าระหว่างจีนและอินเดีย
เมืองนครปฐม (ยุคทวารวดี) และสุโขทัย (ยุคสุโขทัย)
เป็นศูนย์กลางการค้าและการปกครอง

 

 

การเดินทางไปชม Rani Ki Vav stepwell

Rani Ki Vav ตั้งอยู่ในเมือง Patan ห่างจากเมืองอัห์มดาบาดประมาณ 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 2.30 ชั่วโมง จึงควรออกเดินทางจากอัห์มดาบาดแต่เช้า โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงฤดูหนาว นักท่องเที่ยวควรหลีกเลี่ยงฤดูร้อน หรือช่วงมรสุม

สำหรับคนไทย อย่าลืมแสดงหนังสือเดินทาง ค่าเข้าชมแค่ 40 รูปี ขณะนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วไปมีค่าเข้าชม 300 รูปี

สถานทีท่องเที่ยวใกล้เคียง

  • Patan Patola Heritage Museum
  • Modhera Sun Temple
  • Sahasralinga Talav

Rani Ki Vav หรือ “บ่อน้ำขั้นบันไดของพระราชินี” ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งน้ำโบราณ แต่ยังเป็นมรดกทางสถาปัตยกรรม ศิลปะ และวัฒนธรรมที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมอินเดียในอดีต ด้วยคุณค่าอันหลากหลายของสถานที่แห่งนี้ จึงทำให้คนรักสถาปัตยกรรม ศิลปะ และการท่องเที่ยวไม่ควรพลาดที่จะมาเยือน

  • สำหรับคนรักสถาปัตยกรรม:
    Rani Ki Vav เป็นตัวอย่างของการผสมผสานระหว่างความงามและฟังก์ชันการใช้งานในโครงสร้างเดียว ซึ่งหาได้ยากในงานสถาปัตยกรรมโบราณ
  • สำหรับคนรักศิลปะ:
    รายละเอียดและความประณีตในงานแกะสลักที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันคือหลักฐานของความเชี่ยวชาญทางศิลปะที่ไร้กาลเวลา
  • สำหรับนักเดินทาง:
    Rani Ki Vav ไม่ใช่แค่สถานที่สำหรับการชื่นชม แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และพลังแห่งความเชื่อ

*********************************************************

ประวัติผู้เขียนบทความ

มนต์ทิพย์ ลินน์ อัสโสรัตน์กุล (วัฒนรังษีขจร) Montip Lynn Assoratgoon (Wattanarungsikajorn)

  • อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย 2007 – ปัจจุบัน
  • เลขาธิการใหญ่ Asia Pacific Space Designers Association 2023 – ปัจจุบัน
  • Committee APSDA College of Fellows 2021 – ปัจจุบัน
  • Founder/ Director ML Estates
  • อาจารย์พิเศษ
  • นักเขียนนวนิยาย นามปากกา อลินน์ , ออนนี่ดีว่า

*********************************************************

stepwell stepwell stepwell stepwell stepwell stepwell stepwell stepwell

Join The Discussion

Compare listings

Compare
RSS
Follow by Email
LinkedIn
LinkedIn
Share
Instagram
WeChat
WhatsApp
Snapchat
FbMessenger